เกียรติภูมิชาติทหาร ฉากเปิดเรื่องที่สนามรบที่เมืองแอนตีแทม (Antietam) เมืองแมรี่แลนด์ ในระหว่างวันที่ 17-18 ก.ย. ปี คริสต์ศักราช 1862 (พุทธศักราช2405) เมื่อกองทหารข้างสหรัฐเข้าโจมตีค่ายทหารของข้างสมาพันธรัฐหรือข้างใต้ ทหารข้างสหรัฐ (ซึ่งตั้งแต่นี้ต่อไปจะเรียกว่า “ข้างเหนือ” ) ได้เข้าต่อสู้ด้วยความห้าวหาญ มีระบบระเบียบระเบียบ สำหรับในการรบตอนนั้น แม้ว่าจะสามารถหยุดการรุกของกองกำลังนายพลลีที่ข้างสมาพันธรัฐได้ (ซึ่งต่อแต่นี้ไปขอเรียกว่า “ข้างใต้” )
แต่ว่าข้างเหนือก็จะต้องสูญเสียกำลังพลไปจำนวนไม่ใช่น้อย ทั้งยังเสียชีวิตแล้วก็เจ็บจนกระทั่งทุพพลภาพ หัวหน้าทหารหน่วยหนึ่งที่สำคัญสำหรับการรบคราวนี้เป็น ร้อยเอกโรเบิร์ต ฉันลด์ ชอว์ (Robert Gould Shaw) ซึ่งเป็นลูกของคนรวยจากเมืองบอสตัน เมืองแมซซายกเซ็ท เขาได้รับบาดเจ็บสำหรับในการรบคราวนี้ด้วย แล้วหลังจากนั้น เขาได้ถูกส่งคืนรกรากที่บอสตันที่บอสตัน ร้อยเอกชอว์ได้รับการทาบทามจากผู้ว่าการเมืองแมซซายกเซ็ท
เพื่อตั้งขึ้นเป็นกองทหารผิวสีหน่วยแรกซึ่งหมายถึง กองพันที่ 54 ประจำเมืองแมซซายกเซ็ท รวทั้งการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นพันเอกด้วย แล้ว เขาได้ดึงเอาสหายร่วมกองทัพ คาบ็อต ฟอร์บส์ มาร่วมการงานตั้งขึ้นกองพันนี้ด้วย บรรดาชาวผิวสีทั้งหลายแหล่รวมถึงเพื่อนเก่าแก่ของพวกเขาตั้งแต่เด็กชื่อว่า โทมัส ก็เลยได้อาสาสมัครเข้ามารับการฝึกหัดเพื่อเป็นทหารร่วมรบในสนามรบที่พวกเขามั่นใจว่าจะนำเอาเสรีภาพและก็ความเท่าเทียมกันมาสู่ชาวผิวสี
อย่างไรก็ดี การเกิดขึ้นของกองทหารผิวสีนี้เองได้นำมา เกียรติภูมิชาติทหาร ซึ่งการก่อให้เกิดการไม่รับของบรรดาแม่ทัพนายกองข้างเหนือบางนายที่ยังคงมีความคิดแบบเหยียดสีผิวอยู่ แล้วก็บรรดาอาสาสมัครผิวสีกลุ่มนี้มักถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมเสมอเกี่ยวกับเงินทดแทน ต้นเหตุอาศัย อาวุธยุทธภัณฑ์ต่างๆกระทั่งกำเนิดความรู้สึกไม่พอใจแก่อาสาสมัครพวกนั้น พันเอกชอว์จำต้องใช้กุศโลบายทั้งหมดทุกอย่างอีกทั้งกับเพื่อนฝูงร่วมหน่วย ทหารใต้บัญชาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งพลทหารทริปส์ (เดนเซล วอชิงตัน)
ที่ยังคงมีแนวความคิดไม่เชื่อในตัวของคนผิวขาวและก็มักปฏิบัติตัวให้มีปัญหากับเพื่อนฝูงร่วมหน่วยเสมอ แล้วก็หัวหน้าเพื่อเป็นไปตามความตั้งใจของเขาสำหรับเพื่อการตั้งขึ้นกองทหารผิวสีหน่วยนี้เมื่อเสร็จสมบูรณ์การฝึกฝน กองพันที่ 54 ก็เลยได้ออกดำเนินการรบในแนวหน้า ระยะแรก หน่วยจะต้องอยู่ภายใต้บัญชาการของพันเอกมอนต์โกเมอปรี่ หัวหน้ากองทหารผิวสีที่มีพื้นเพมาจากข้าทาสของเมืองข้างใต้ (กองพันที่ 54 มีพื้นเพจากชาวผิวสีปกติสามัญหรืออาจมีการเรียนรู้อย่างโทมัส)
เกียรติภูมิชาติทหาร
glory พากย์ไทย (1989)
กองทหารหน่วยนี้มิได้มีความรู้และมีความเข้าใจสำหรับการรบและไม่ได้ออกศึกอย่างเอาจริงเอาจัง กลับมีพฤติกรรมไม่ได้ต่างอะไรกับโจรที่ปล้นทรัพย์ราษฎรภายใต้การรู้เห็นเป็นใจของผู้บัญชาการและก็รับส่วยจากการปล้นไปในตัว (คล้ายกับบางพรรคการเมืองที่เล่นการเมืองในที่ประชุมแทบครึ่งเดียว แต่ว่าใช้พวกภายนอกที่ประชุมไปเล่นการเมืองริมถนนอีกกว่าครึ่ง) และก็พวกเขายังได้รับแม้กระนั้นภารกิจสำหรับการใช้แรงงานเป็นลูกจ้างเป็นหลัก
พันเอกชอว์ก็เลยจำต้องใช้เส้นของบิดากับการเจรจาต่อรองกับผู้บัญชาการโดยข่มขู่ที่จะเผยเบื้องหน้าเบื้องหลังความโสโครกของพวกเขา เพื่อขอนำหน่วยทหารออกศึก (คงจะไม่เหมือนกับทหาร เกียรติภูมิชาติทหาร รวมทั้งตำรวจไทยบางนายเวลานี้ที่ใช้เส้นสำหรับในการต่อรองเพื่อหลีกลี้การลงไปทำงานในพื้นที่เผชิญภัยในภาคใต้) แล้วก็แล้ว ในวันที่ 16 ก.ค. คริสต์ศักราช 1863 ที่เจมส์ไอส์เลนด์ (James Island) เมืองเซาท์แคโรไลน่า กองพันที่ 54 ก็เลยได้ทำรบเป็นครั้งแรกได้อย่างห้าวหาญ
แล้วก็แข็งแกร่งกระทั่งสามารถตีโต้กองกำลังของข้างใต้จนถึงจะต้องถอยร่นไป พลทหารทริปส์ได้รับคำสดุดีจากการต่อสู้อย่างห้าวหาญ แม้กระนั้นเขายังไม่ยอมรับไม่รับตำแหน่งผู้ถือธงของหน่วย แต่ว่าเขาก็ได้อุทิศตัวอย่างมากแล้วกับกองพันที่ 54สำหรับในการรบที่ฟอร์ตว้ากเนอร์ (Fort Wagner) ใกล้กับเมืองชาร์ลสตัน (Charleston) รัฐเซาท์แคโรไลน่า พันเอกชอว์ได้สมัครใจที่จะนำกองพันที่ 54 เข้าตีเป็นหน่วยแรกด้วยความขมักเขม้น แล้วกองพันที่ 54 ก็เลยเข้าสู้สนามรบอย่างทรงเกียรติท่ามกลางกองทหารหน่วยอื่นๆในวันที่ 18 ก.ค. ปี
คริสต์ศักราช 1863 ตอนเย็น กองพันที่ 54
ก็เลยได้ทำเข้าตีอย่างห้าวหาญไปกระทั่งมืดค่ำ (ซึ่งตามประวัติศาสตร์ได้บอกว่ากองพันที่ 54 สูญเสียกำลังเดินทางไปกว่าครึ่ง มีทหารถูกฆ่าตายไป 116 นาย เจ็บรวมทั้งโดนจับไป 156 นาย พันเอกชอว์เสียชีวิตในสนามรบ ไม่สามารถที่จะเอาชัยชนะได้) ทหารที่ตายในสนามรบและก็พันเอกชอว์ได้ถูกข้างใต้เอามาฝังรวมกันแบบไม่มีพิธีกรรมอะไรก็แล้วแต่(ธรรมดา ข้างใต้จะให้เกียรติแก่ศัตรู ด้วยการพิธีกรรมฝังศพนายทหารแยกจากบรรดาพลทหาร)
ป้อมฟอร์ตว้ากเนอร์ไม่เคยถูกยึดได้ แต่ว่าข้างหลังการรบ เมื่อข่าวสารความกล้าของกองพันที่ 54 เผยแพร่ออกไป ที่ประชุมพรรคคองเกรสได้อนุญาตให้ก่อตั้งกองกำลังทหารผิวสีเพิ่มอีก รวมทั้งมีอาสาสมัครกว่า 1 แสน 8 หมื่นคน และก็อาสาสมัครพวกนี้เองที่มีส่วนสำหรับการเปลี่ยนทิศทางของการทำศึก ขณะนี้ มีอนุสาวรีย์ของพันเอกโรเบิร์ต เราลด์ ชอว์รวมทั้งกองพันที่ 54 อยู่ใน Boston Common—Augustus Saint-Gaudens เมืองบอสตัน เมืองแมซซายกเซ็ท
มายากลอปรี่นับเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับสงครามกลางเมืองของอเมริกา 1 ในไม่กี่เรื่องที่สร้างภาพให้ทหารข้างสหรัฐเป็นผู้แสดงนำชาย ก่อนหน้าที่ผ่านมารวมทั้งต่อจากนั้น เกียรติภูมิชาติทหาร ข้างสหรัฐเป็นโจรมาตลอด (แม้กระทั้งในหัวข้อนี้ บางช่วงตอน ข้างเหนือก็มีฉากเป็นอาชญากรด้วยจากการใช้ทหารผิวสีปล้นทรัพย์ราษฎร)การที่ข้างเหนือเป็นโจรมาตลอดนั้น ถ้าเกิดผู้ใดกันแน่ที่ได้คลุกคลีกับสังคมอเมริกันมาตลอดจะพบว่า อันที่จริงแล้ว ข้างใต้หรือกรุ๊ปเมืองด้านใต้เป็นเมืองสำนักงานเกษตรเป็นหลัก
การมีขี้ข้านับเป็นสิ่งสำคัญในการเกษตรสมัยเก่าที่เครื่องจักรรวมทั้งเทคโนโลยียังไม่รุ่งโรจน์ การยกเลิกระบบข้ารับใช้แบบกะทันหันทันใดก็เลยเป็นการตีหม้อสิ่งของเมืองทางด้านใตนซึ่งสร้างความรู้สึกไม่พอใจจนกระทั่งมีการปลีกตัวออกเป็นประเทศอิสระ ยิ่งกว่านั้น สังคมของเมืองด้านใต้ยังเป็นสังคมทำการเกษตร มีความสัมพันธ์สมัครสมานสามัคคีอย่างดีเยี่ยม ภาพลักษณ์ของเมืองตอนใต้ก็เลยมองงดงามเป็นธรรมชาติ และก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวาแบบสังคมชนบท การรุกรานของข้างเหนือก็เลยเปรียบได้กับกับการทำลายสังคมอันงามนี้
แม้กระทั่งเป็นการต่อสู้เพื่อรวมชาติก็ตาม (ถ้าเกิดจะเอ๋ยถึงจิตใจ ความห้าวหาญ แล้วก็ความเก่งของทหารแล้วก็ผู้นำกองทัพข้างใต้ นายพล อี ลี สมิท ก็ถือว่าเหนือกว่าข้างเหนือยิ่งนัก) แน่ๆขอรับ ความประพฤติของทหารข้างเหนือบางกองก็ไม่ต่างจากทหารอังกฤษในสมัยการศึกประกาศเอกราชของเมริกาด้วยหมายถึงการปล้นสะดม ทำลายอาคารบ้านเรือนแล้วก็เมืองที่ยึดได้ แม้อุดมการณ์ของเมืองข้างเหนือจะเป็นสิ่งที่ตรงกับปรัชญาแล้วก็วิธีการของการจัดตั้งประเทศอเมริกาเท่าใด
ก็ยังไม่บางทีอาจลบภาพความเป็นคนร้ายของข้างเหนือได้อยู่ดี เคยมีนักประวัติศาสตร์บางคนวิภาควิจารณ์ว่า อับราฮัม ลินคอล์นดำเนินแนวนโยบายบกพร่องสำหรับในการเลิกข้าทาสทันทีทันใดจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นสงครามกลางเมือง รวมทั้งไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ว่า ท่านก็เป็นคนที่มีส่วนสำคัญในนำไปสู่การศึกคราวนี้ และก็ทำให้เกียรติศักดิ์ของท่านจะต้องมัวหมองไปพอควร (ผมกะว่า พระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 คงจะได้ทรงเล่าเรียนการเลิกขี้ข้าของอเมริกาพอควร
ท่านก็เลยทรงเลิกข้ารับใช้โดยใช้กุศโลบายแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไปเพื่อไม่ให้มีการไม่ตรงกันกระทั่งจำเป็นต้องเสียเลือดเนื้อ)แต่ว่าในรูปภาพยนตร์หัวข้อนี้ ความเป็นผู้แสดงนำชายแล้วก็ข้างถูกของข้างเหนือนั้นถูกผลิตเอาไว้ในภาพยนตร์ด้วยอุดมการณ์ของพันเอกชอว์ ผู้เป็นนักการทหารซึ่งมีอุดมการณ์ทางด้านทหารที่เข้มแข็ง อุดมคติด้านการเมืองที่แน่แน่ว ได้สร้างภาพลักษณ์ของจิตวิญญาณความเป็นอเมริกันตามความมุ่งหมายของแผนกผู้จัดตั้งประเทศอเมริกาได้
ถึงในรูปภาพยนตร์ เขาจะมีท่าทางรวมทั้งอารมณ์ที่หวั่นไหวแบบนักแสดงกระทั่งแปลงเป็นอ่อนแอไปบ้าง (ทั้งที่ตอนต้นเรื่อง เขาอดทนเสียกระทั่งสามารถนั่งรับการดูแลรักษาพยาบาลแล้วก็ดูพลทหารร้องเสียงโหยหวนจากการเช็ดกหมอตัดขาได้อย่างไม่หวั่นใจ) แต่ว่าเมื่อถึงเวลาที่จำเป็นต้องเด็ดขาดอีกทั้งด้านในรวมทั้งนอกหน่วยทหาร เขาก็ทำเป็นอย่างยอดเยี่ยม) หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ภาพยนตร์หัวข้อนี้บางทีอาจเป็นการสร้างความรู้สึกและก็ความรู้ความเข้าใจอันถูกต่อความห้าวหาญแล้วก็อุดมการณ์ของนักสู้ข้างเหนือได้
และก็ยังเป็นการประกาศถึงความเป็นธรรมที่ข้างเหนือจำเป็นต้องรบกับข้างใต้ไม่ใช่เพียงแต่การรวมชาติ แม้กระนั้นเป็นการสร้างชาติใหม่ในอุดมคติที่จริงจริงอย่างไรก็แล้วแต่ หลักสำคัญที่ภาพยนตร์ประเด็นนี้ยังคงพรีเซ็นท์ก็คือ การปฏิเสธชาวผิวสีเข้ามาเป็นพรรคพวกร่วมรบ ผู้สั่งการหน่วยทหารต่างๆยังคิดว่าการรบอันเป็นเรื่องเกียรติของชาตินักรบนั้นเหมาะจะเป็นหน้าที่ของคนขาว การก่อตั้งกองทหารผิวสีในพื้นฐานเป็นเพียงแค่การผลิตภาพโปรโมทเพียงแค่นั้น
แม้กระนั้นท้ายที่สุด ก็เป็นไปตามสูตรหมายถึงกองทหารผิวขาวจะต้องสารภาพรวมทั้งยกย่องในความอาจหาญของกองพันที่ 54 สำหรับในการสมัครใจเข้าตีค่ายฟอร์ด ว้ากเนอร์แล้วก็อีกสิ่งหนึ่งที่ภาพยนตร์หัวข้อนี้ได้พรีเซ็นท์เหมือนกับภาพยนตร์การศึกแนวดราม่าทั่วๆไปก็คือ ความเหลวแหลกร้ายของการศึกที่เต็มไปด้วยการเสียเลือดเนื้อของทหารสำนักงานรบรวมทั้งความทุกข์ยากตรากตรำของพลเมือง และ ความไม่ถูกกันที่คงจะสนทนากันได้แทนการใช้กำลังเข้าฟาดฟันกัน
ยังไม่มั่นใจว่า การผลิตภาพยนตร์ประเด็นนี้ ผู้ผลิตได้รับการส่งเสริมจากกรุ๊ปหรือหน่วยงานใดที่นิยมข้างเหนือไหม และไม่รู้เช่นกันว่า หลังจากที่ออกฉายได้กำเนิดกระแสอะไรขึ้นบ้างเกี่ยวกับสงครามกลางเมืองก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาในสังคมอเมริกันเวลานั้นอีกประการครับผม ภาพยนตร์ประเด็นนี้มีการดูแลศิลปที่สุดยอดทีเดียวครับผม การเลือกเอาแมททิว บคอยเดอริกมารับบทผู้พันชอว์และก็การดูแลศิลปที่สุดยอดทำให้บคอยเดอริกกลายเป็นผู้พันชอว์ได้อย่างกลมกลืนมากมายครับผม
ส่วนเดนเซล วอชิงตันก็สามารถครอบครองรางวัลออสการ์สาขาตัวประกอบชายเหมาะสมที่สุดจากภาพยนตร์หัวข้อนี้ ซึ่งนับเป็นความเสร็จช่วงต้นในอาชีพการแสดงของเขา เกียรติภูมิชาติทหาร การนำเสนอฉากการรบก็มีความมุ่งมั่น ร้ายแรง และก็นองเลือด แต่ว่าไม่ถึงกับเหี้ยมโหดอำมหิตหลักสำคัญที่น่าดึงดูดอีกประการเกี่ยวกับภาพยนตร์ประเด็นนี้ก็คือ พิจารณาได้ว่า การรบโดยใช้ปืนไรเฟิลแบบคาบหินในสมัยนั้น จำต้องเข้าแถวยิงกันซึ่งๆหน้า เนื่องจากว่าความจำกัดของแนวลูกกระสุนและก็สมรรถนะของปืนในสมัยนั้น
โดยเหตุนี้ หากกองทหารข้างใดมีความชำนิชำนาญสำหรับการใส่ลูกปืน ความเที่ยงตรงสำหรับในการยิง รวมทั้งที่สำคัญเป็น ควรมีระเบียบวินัยสำหรับในการดัดแปลงขบวนแถวเพื่อการยิงอย่างมีคุณภาพ ก็จะมีความเป็นต่อสำหรับในการรบมหาศาลก่อนที่จะถึงขนาดวินิจฉัยแพ้ชนะโดยการรบประชิดตัว กลยุทธ์การรบอย่างงี้พัฒนาการมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 จนกว่าตอนต้นศตวรรษที่ 20 นั่นแหละนะครับ ด้วยความสามารถของลูกปืนและก็อาวุธที่รุนแรงขึ้น ทำให้การรบไม่อาจจะทำในลักษณะเจอหน้ากันตรงๆถ้าหากแม้กระนั้นเปลี่ยนมาเป็นกลยุทธ์แบบที่ใช้กันมาในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 1 จนกระทั่งตอนนี้ขอรับ
รีวิว Castlevania Nocturne Netflix แวมไพร์รวมกับเปลี่ยนแปลงประเทศฝรั่งเศสที่มองผิวเผินมากมาย แม้กระนั้นแอ็กชั่นสนุกสนานใช้ได้อยู่
แอนิเมชั่น 8 ตอนสุดท้าย ตอนละ 25 นาทีสั้นๆจบฤดูกาลแบบทิ้งค้างมีต่อ เรื่องราวอิงจากเกมโดยตรง แม้กระนั้นก็มีดัดแปลงหลายชนิดเพิ่มเข้าไป เหมาะสมกับผู้ชมที่รู้จักรากฐานพล็อตเรื่องของ Castlevania ดีอยู่แล้วมากยิ่งกว่าผู้ชมคนใหม่ ตัวเรื่องทำแอ็กชั่นออกมาดี ค้างแรกเตอร์ตรงเกม งามเคลื่อนลื่นไหล แต่ว่าเรื่องราวที่อิงกับการเปลี่ยนแปลงพสกนิกรในประเทศฝรั่งเศสมองผิวเผินเหลือเกิน ทำให้มองสนุกสนานได้เพียงแค่ฉากแอ็กชั่นเพียงแค่นั้นนะครับ
ตำนานนักล่าแวมไพร์จากเกมดังกลับมาสร้างใหม่อีกรอบ โดยเป็นแอนิเมชั่นซีรีส์ Original Netflix เมื่อเหล่าแวมไพร์ปรากฎตัวในประเทศฝรั่งเศส ตอนที่พสกนิกรกำลังรวมกลุ่มเปลี่ยนแปลงชิงอำนาจจากเจ้าขุนมูลนาย หนุ่มน้อยจากเครือญาตินักล่าแวมไพร์ในตำนานก็ผนึกกำลังช่วยเปลี่ยนแปลงประชากรชาชนด้วยด้วยเหมือนกัน เรื่องราวโดยรวมยังดำเนินไปแบบเดิม อีกทั้งการเล่าเรื่องเดี๋ยวนี้ตัดสลับสมัยก่อน ซึ่งบางทีก็อาจจะมองน่ารำคาญกับการเล่าสั้นๆตลอดเรื่องอยู่บ้าง
ความอวดของผู้แสดงนำที่ทำหลายสิ่งได้เกินจริงก็ยังคงอยู่ แม้กระนั้นด้วยการที่ไม่มีฉากแอ็กชั่นใหญ่มโหฬารแบบภาคก่อนๆก็ทำให้เรื่องมองอวดลดลงเป็นระดับเล็กๆที่พอให้เชื่อตามไปได้บ้าง ซึ่งทำให้ภาคนี้มองสนุกสนานกว่าภาคก่อนนิดๆขอรับ สรุปเป็นซีรีส์ที่ขึ้นเรื่องราวใหม่ มีตัวละครใหม่ มีบอสคนใหม่ที่เป็นปัญหา แต่ว่าก็ยังคงเล่าในแบบเดิมตัดสลับเดี๋ยวนี้กับสมัยก่อน ฉากชิงทรัพย์ใหญ่มีเพียงแค่ 2 ทีแรกๆ แล้วหลังจากนั้นก็เป็นสเกลเล็กลงแบบชิงทรัพย์ย่อยๆกั้นเรื่อง ก็ทำให้เรื่องมองโวลดลงเป็นระดับเล็กๆ
แต่ว่าผู้แสดงนำชายก็ยังเอาชีวิตรอดได้อย่างไม่ยากเย็นอย่างเช่นเดิม เรื่องราวหันมาย้ำที่ความข้องเกี่ยวของครอบครัวเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งจัดการปัญหาเรื่องคดีที่ประจำตัวให้หมดไป โดยขยายปริมาณตอนเยอะขึ้นเรื่อยๆเป็น 7 ตอนสุดท้ายในฤดูกาลเลย ก็ทำให้มีเวลาเล่าได้พอดีกว่าการทิ้งเรื่องค้างไว้แบบ 2 ฤดูกาลก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาขอรับ (แม้กระนั้นก็ยังมีอ้าตอนสุดท้ายไว้ทำภาคต่อด้วย) บ้านผลบอล โดยรวมคนไหนที่มองมาแล้วถูกใจก็เสนอแนะให้มองต่อได้เลย ยังบันเทิงใจในแบบเดิมทั้งหมดทุกอย่างครับผม
แอนิเมชั่นซีรีส์จากตะวันตก ที่นำเอาเนื้อเรื่องเกม Castlevania ของค่ายโคนามิมาดัดแปลง โดยเป็นผลงานสร้างของ Clive Bradley ทีมใหม่ที่สานงานต่อจาก Castlevania ชุดก่อน 4 ซีซั่นที่ลงใน Netflix เช่นกัน ซึ่งผู้ชมที่เคยเล่นเกมหรือรู้จักเรื่องนี้ก็จะเข้าใจดีว่า นี่เป็นซีรีส์ที่เอาแวมไพร์มาเป็นพื้นฐานศัตรูในทุกภาค แต่ไม่ใช่แดรกคิวล่า เป็นการสร้างเรื่องราวใหม่ที่มีตระกูลเบลมอนต์ผู้ใช้แส้เป็นตัวเอกในการไล่ปราบแวมไพร์ทุกภาค
